ปลายปี 2559 มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึง พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ กันมาก แล้วพรบ.ฉบับนี้ก็ผ่านการเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2559 แล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 24 มกราคม 2560 และรออีก 120 วัน จึงจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 เนื้อหาใน พรบ. เป็นการปรับแก้มาตราใน พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่ง พรบ. ฉบับใหม่ก็ย่อมมีประเด็นที่ถูกใจ และไม่ถูกใจ ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นพรบ.ที่ยอมรับได้อย่างชัดเจน
ประเด็นสำคัญที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนใน พรบ. ฉบับใหม่ คือ หากจงใจส่งอีเมลขยะจะได้รับโทษหนักขึ้น เพิ่มความชัดเจนในการขอความร่วมมือลบข้อมูลหรือระงับการเผยแพร่จากผู้ให้บริการ เพิ่มคณะกรรมการมาทำงานกลั่นกรองข้อมูลดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เพิ่มโทษกับผู้กระทำผิดในหลายมาตรา การเพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่ โดยข้อดีของ พรบ.ฉบับนี้ เชื่อว่าจะทำให้ดำเนินการกับผู้กระทำผิดได้เหมาะสม การเพิ่มโทษจะทำให้เกิดการป้องปราม การร้องขอข้อมูลจากผู้ให้บริการ การลบ และระงับการเผยแพร่ข้อมูลทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เคยมีคำถามว่า ถ้าพบผู้กระทำความผิดตาม พรบ.ฉบับใหม่ ต่อเรา ต่อคนในครอบครัว หรือต่อสังคม จะต้องทำอย่างไร คำตอบ คือ หากพบผู้กระทำผิดตามกฎหมายไม่ว่าจะกฎหมายอะไร ก็สามารถเข้าไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ หรือรับคำแนะนำจากผู้รักษากฎหมายที่มีอยู่ทั่วประเทศ ก่อนจะไปแจ้งความก็ต้องเก็บรายละเอียดให้ครบถ้วน ทั้งการบันทึกเป็นแฟ้ม การบันทึกเป็นภาพ พิมพ์เป็นเอกสาร แล้วนำไปแจ้งความ การมีหลักฐานมากพอจะช่วยให้สามารถเอาผิด หรือสาวไปถึงตัวผู้กระทำผิดได้ แต่ถ้าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน การไปแจ้งความก็อาจไม่ได้รับความสะดวกในการสืบสวนไปถึงผู้กระทำผิด แล้วนำตัวมาลงโทษได้เร็วตามที่คาดหวัง
ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 24 ม.ค.60 (PDF)
วันที่ 25 ม.ค.2560 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2560 บังคับใช้หลังพ้นหนึ่งร้อยยี่สิบวัน นับแต่วันประกาศ แก้ไขเพิ่มเติมอัตราโทษปรับหรือจำคุก ฐานส่งข้อมูลก่อให้เกิดความเดือดร้อนรําคาญแก่ผู้รับ หรือนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ บิดเบือน ลามก ตัดต่อภาพผู้อื่นให้เสียชื่อเสียง อับอาย รวมถึงมาตรการบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทําความผิด
วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้ กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ดังต่อไปนี้
อำนาจอธิปไตย สามารถแบ่งออกเป็นอำนาจย่อย 3 อำนาจ คือ 1) อำนาจนิติบัญญัติ เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา 2) อำนาจบริหาร ใช้ผ่านทางคณะรัฐมนตรี 3) อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจของศาลทุกประเภท เมื่อใดที่มีคดีความที่ตำรวจต้องสอบสวน และส่งให้ศาลพิจารณา ว่าต้องมีการตัดสินอย่างไร ก็จะต้องทำสำนวนส่งให้ศาลชี้ขาด มีตัวอย่างคดีที่ประชาชนสนใจ คือ ศาลสั่งจำคุกแก๊ง 7 โจ๋ ฟันชายพิการ 19 ปี ชดใช้ญาติ 5 แสนบาท แล้วญาติพร้อมน้อมรับคำตัดสินของศาล แต่ในข่าวชี้ประเด็นว่า พนักงานสอบสวน ไม่แจ้งข้อหาว่าไตร่ตรองไว้ก่อน ตั้งแต่ตอนที่ส่งข้อมูลไปให้ศาลพิจารณา
ปัจจุบันแม้ผู้พิพากษาจะมีอำนาจเพียงใด เข้าใจกฎหมายเพียงใด แต่ก็พบว่ามีข่าว เรื่อง "ไล่ออก-เรียกคืนเครื่องราชฯ ผู้พิพากษา หน.คณะศาลอาญากรุงเทพใต้ และ ผู้ช่วยผู้พิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค ๘" ที่สะท้อนว่า แม้แต่ผู้รู้ผิดชอบชั่วดีสูง ก็ยังกระทำผิดวินัยร้ายแรง และต้องพ้นจากตำแหน่ง จนถึงกับถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ สรุปว่าทุกคนพลาดได้ แม้แต่ผู้พิพากษา หรือผู้ที่มีอำนาจอื่นก็ตาม อีกกรณีคือ เมื่อ 29 ธ.ค.60 พบว่า เสก โลโซ ไลฟ์สดผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว ระบุว่า “จากหัวใจข้าพเจ้าเลยนะทุกท่าน” โดยยิงปืนขึ้นฟ้า 10 นัด หน้าศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน จะถูกหรือผิด คงต้องให้ตำรวจสอบสวนตามขั้นตอน หากไม่เข้ากฎหมายมาตราใดเลย ก็ส่งให้ศาลพิจารณาไม่ได้